เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา นายอากิโอะ โตโยดะ ประธานบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ เดินทางไปภาคเหนือของญี่ปุ่นและประกาศขยายฐานโรงงานผลิตรถยนต์ด้วยงบ 24 ล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์บางคน มองว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด ซึ่งเน้นความเป็นชาตินิยมมากกว่าผลกำไร ในเวลานั้น โตโยต้า กำลังดิ้นรนสร้างฐานผลิตใหม่หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ เมื่อเดือนมีนาคม 2554 รวมทั้งเงินเยนต่อดอลลาร์ที่แข็งค่าเป็นประวัติการณ์นับแต่หลังสงครามโลก อย่างไรก็ตาม โรงงานในเมืองไทวะ จังหวัดมิยางิ ได้รวบรวมอุปกรณ์เครื่องยนต์ต่างๆจนสามารถส่งออกรถไฮบริดขนาดเล็กรุ่นพริอุส ซีได้สำเร็จ และในเดือนนี้ ด้วยทิศทางลมที่เป็นใจให้กับการกลับมาของโตโยต้า เช่น ค่าเงินเยนอ่อนตัวลง รวมถึงการรอดูท่าทีของรัฐบาลในการปรับลดค่าเงินเยนด้วย นักวิเคราะห์ ต่างมองว่า ความผันผวนต่อเนื่องของค่าเงินเยนอาจเป็นประโยชน์ต่อการแข่งขันของโตโยต้า และหนีห่างคู่แข่งในตลาดโลกที่เคี่ยวและเติบโตเร็วที่สุดอย่าง ฮุนได มอเตอร์ ความผันผวนนี้อาจจะมีผลแบบเดียวกันต่ออุตสาหกรรมส่งออกประเภทอื่นของญี่ปุ่นด้วย นับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม เงินเยนอ่อนตัวลงประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์และ 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับค่าเงินวอนเกาหลีใต้ ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นของโตโยต้าพุ่งขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากนักลงทุนมองว่าโตโยต้ามีโอกาสสร้างกำไรได้มากขึ้นจากการผลิตรถส่งออก รวมถึงรุ่นสุดหรูอย่างเล็กซัสด้วย ไม่ว่ายุทธศาสตร์การลดค่าเงินเยนเพื่อชะลอการสะดุดยอดผลิตของญี่ปุ่นจะได้ผลหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นกุญแจสำคัญของรัฐบาลใหม่จากพรรคแอลดีพีภายใต้การนำของนายชินโซะ อาเบะ ซึ่งเป็นผู้ที่ผลักดันนโยบายด้านการเงินที่ไม่ซับซ้อนเพื่อจะลดค่าเงินเยนและเพิ่มแรงกดดันให้กับผู้ส่งออกอย่างโตโยต้า การที่เงินเยนแข็งค่าในไม่กี่ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบรรดาผู้ส่งออกของญี่ปุ่น รวมถึงอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิคส์และการต่อเรือ ซึ่งมีคู่แข่งสำคัญอย่างเกาหลีใต้ โดยในระหว่างปี 2545-2554 จำนวนพนักงานในโรงงานลดลง 13 เปอร์เซ็นต์หรือประมาณ 10.4 ล้านคน โตโยต้าเป็นผู้ผลิตรายสุดท้ายที่ยังมีฐานการผลิตในญี่ปุ่น และด้วยการมีจุดยืนอนุรักษ์นิยมอาจส่งผลให้ได้ผลกำไรก้อนมหาศาลหากค่าเงินเยนอ่อนตัวลง ในกรณีนี้ นายโตโยดะ ยังไม่ได้ส่งสัญญาณที่จะดำเนินการผลิตรถในญี่ปุ่นให้ได้ 3 ล้านคันต่อปีตามที่เคยประกาศไว้ ด้านวิศวกรโตโยต้ากล่าวว่ายุทธศาสตร์นี้ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงผู้จัดจำหน่ายได้มากขึ้นและช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ “โรงงานแม่” ในญี่ปุ่นซึ่งจะเป็นแนวทางในการลดต้นทุนของโรงงานสาขาต่างประเทศ ตรงกันข้าม นายคาร์ลอส กอส์น ประธานบริหารของนิสสัน ได้ทำการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศแบบรุกคืบ ภายใต้การบริหารของเขา นิสสันได้ส่งรถรุ่น “มาร์ช” ซึ่งเป็นรถซับคอมแพคท์หรือรถตัวถังขนาดเล็กหนึ่งในรุ่นที่ขายดีในญี่ปุ่น มาที่ประเทศไทยและสั่งซื้อชิ้นส่วนรถเพิ่มจากต่างประเทศรวมถึงเกาหลีใต้ ด้านปริมาณการผลิตทั่วโลกของนิสสันอยู่ในญี่ปุ่นเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจาก 5 ปีที่แล้วถึง 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับฮอนด้ามีการผลิตในญี่ปุ่นอยู่ที่ 26 เปอร์เซ็นต์จากยอดรวมทั้งหมด ลดลงจากปี 2550 ถึง 34 เปอร์เซ็นต์ สำหรับโตโยต้ามีตัวเลขการผลิตในญี่ปุ่น 40 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจากปี 2550 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ โตโยต้ากล่าวว่า โดยสรุปแล้ว โตโยต้าเป็นผู้ผลิตที่อ่อนไหวตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนมากกว่าคู่แข่งร่วมชาติรายอื่นๆ โดยได้กำไรลดลง 3.5 หมื่นล้านเยนต่อทุกๆ 1 เยนที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สำหรับนิสสันได้กำไรลดลง 2 หมื่นล้านเยน และฮอนด้าได้กำไรลดลง 1.6 ล้านเยน และคาดว่าจะมีสัดส่วนเดียวกันจากการลดค่าเงินเยน