ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (5 เม.ย.) เนื่องจากรายงานตัวเลขจ้างงานที่น่าผิดหวังได้ถ่วงบรรยากาศการซื้อขาย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 40.86 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 14,565.25 จุด โดยในระหว่างวันดัชนีร่วงลงไปถึง 171 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 6.70 จุด หรือ 0.43% ปิดที่ 1,553.28 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 21.12 จุด หรือ 0.66% ปิดที่ 3,203.86 จุด สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.01% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในปีนี้ ส่วนดาวโจนส์ และ Nasdaq ลดลง 0.09% และ 1.95% ตามลำดับ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวในแดนลบตั้งแต่เปิดตลาด โดยทั้ง 3 ดัชนีร่วงลงไปมากกว่า 1% เพราะนักลงทุนผิดหวังรายงานตัวเลขจ้างงานที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 88,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 7.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี จากระดับ 7.7.% ในเดือนก่อนหน้านี้ การเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดนี้บ่งชี้ถึงการขยายตัว ที่ช้าลงในตลาดแรงงานก่อนที่สหรัฐจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่ สิ้นสุดวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งพุ่งขึ้น 28,000 ราย แตะระดับ 385,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงแตะระดับ 350,000 ราย ด้าน ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 158,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นราว 190,000-200,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ดี หลังจากที่หุ้นลดลงอย่างหนักในการซื้อขายช่วงแรก นักลงทุนก็ได้เข้าช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลง ซึ่งช่วยให้ดัชนีพยุงตัวขึ้นจากระดับต่ำของวันได้ ขณะเดียวกัน นอกจากรายงานจากกระทรวงแรงงานแล้ว วานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าปรับตัวลดลง 3.4% ในเดือนก.พ. สู่ระดับ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ จากตัวเลขที่ได้รับการปรับทบทวนที่ 4.45 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. เนื่องจากสหรัฐมียอดส่งออกเพิ่มขึ้นมากกว่ายอดนำเข้า ในส่วนของหุ้นรายตัวนั้น นายเรย์มอนด์ เลน ประธานกรรมการบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) ตัดสินใจก้าวลงจากตำแหน่ง หลังเกิดกระแสความไม่พอใจในหมู่ผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับบทบาทของเขาใน การที่เอชพีได้เข้าซื้อบริษัทซอฟต์แวร์ ออโตโนมี ของอังกฤษ ในราคาแพง หุ้นเอชพีร่วง 1.48% แตะ 21.97 ดอลลาร์ หุ้นเอ็กไซด์ เทคโนโลยีส์ พุ่ง 14.60% แตะ 1.57 ดอลลาร์ หลังจากที่บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่เผยว่าได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อทบทวนทางเลือกในการระดมทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้น สำหรับในสัปดาห์หน้า ความสนใจของนักลงทุนจะหันไปจับจ้องที่รายงานผลประกอบการภาคเอกชน โดยอัลโคเป็นบริษัทแรกในตลาดที่มีกำหนดเปิดเผยงบการเงินไตรมาส 1/2556