ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (4 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัดเนื่องจากตลาดได้รับแรงกดดันหลังจาก สหรัฐเปิดเผยตัวเลขคนว่างงานรายสัปดาห์ที่พุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาด หมาย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 55.76 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 14,606.11 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 6.29 จุด หรือ 0.40% ปิดที่ 1,559.98 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 6.38 จุด หรือ 0.20% ปิดที่ 3,224.98 จุด ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับข่าวที่ว่า บีโอเจมีมติผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกภายใต้การนำของนายฮารุฮิโกะ คูโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจคนใหม่ โดยบีโอเจจะยังคงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบเชิงรุก จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% เพื่อจัดการกับปัญหาเงินฝืด ทั้งนี้ คณะกรรมการบีโอเจมีมติว่าจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลทุกประเภท รวมถึงพันธบัตรอายุ 40 ปี พร้อมกับขยายโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุการไถ่ถอนในปัจจุบัน ไม่ถึง 3 ปี เป็น 7 ปี นอกจากนี้ บีโอเจจะซื้อกองทุน ETF วงเงิน 1 ล้านล้านเยนต่อปี และซื้อกองทุน REIT วงเงิน 3 หมื่นล้านเยนต่อปี พร้อมกับจะระงับ "หลักการธนบัตร (banknote principle)" ซึ่งเคยห้ามไม่ให้บีโอเจถือครองพันธบัตรรัฐบาลมากกว่ามูลค่าของธนบัตร ที่หมุนเวียนในระบบ อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัดเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนว โน้มตลาดแรงงานของสหรัฐ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 มี.ค.พุ่งขึ้น 28,000 ราย แตะระดับ 385,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงแตะระดับ 350,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงซบเซา นักลงทุนในตลาดการเงินจับตาดูกระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งจะเปิดเผยตัว เลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 7.7% หุ้นเบสท์บายพุ่งขึ้น 16.07% หลังจากบริษัทประกาศแผนการลดราคาผลิตภัณฑ์ iPad 3 ที่คงค้างอยู่ในสต็อกในสหรัฐ ส่วนหุ้นเฟซบุ๊กดีดตัวขึ้น 3.13% หุ้นแมคโดนัลด์พุ่งขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวขึ้น 1.1% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 1.4%