ในการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นนั้น โบรกเกอร์จะเป็นผู้ศึกษาข้อมูลของลูกค้า ทั้งในเรื่องของฐานะ การเงินและวัตถุประสงค์ในการลงทุน เพื่อที่จะกำหนดรูปแบบการเปิดบัญชีและให้คำแนะนำในการลงทุน แก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสม รายละเอียดของแต่ละบัญชี มี 3 ประเภท ดังนี้ บัญชีเงินสด เป็นบัญชีสำหรับลูกค้าที่ต้องการชำระเงินค่าซื้อขายหุ้นด้วยเงินสดแบบเต็มจำนวน ซึ่งก่อนจะทำการซื้อขาย ลูกค้าต้องวางหลักประกัน 15% ของวงเงินดังกล่าวก่อน ซึ่งหลักประกันที่ว่านี้อาจเป็นเงินสดหรือหลักทรัพย์ก็ได้ ถ้าหลักประกัน เป็นเงินสด ลูกค้าก็จะได้รับดอกเบี้ยฝากในส่วนนี้ด้วย บัญชีเงินสดนี้ จะเหมาะกับผู้ลงทุนที่มีรายได้ประจำหรือมีความสามารถในการ ชำระหนี้ดีพอควร บัญชี cash balance เป็นบัญชีที่ลูกค้านำเงินสดมาค้ำประกันไว้กับโบรกเกอร์ก่อนการซื้อขายหุ้น 100% โดยลูกค้าสามารถ ซื้อหุ้นได้ภายในวงเงินที่ฝากไว้ล่วงหน้ากับโบรกเกอร์ หากลูกค้าซื้อหุ้นไปจำนวนหนึ่ง โบรกเกอร์ก็จะตัดเงินในบัญชีลูกค้าออกไปเพื่อ ชำระค่าซื้อ ซึ่งมีผลให้อำนาจการซื้อหุ้นของลูกค้าลดลงเท่ากับมูลค่าของหุ้นที่ซื้อไป เงินสดที่ลูกค้าฝากไว้กับโบรกเกอร์ก็จะได้รับ ดอกเบี้ยฝากด้วยเช่นกัน บัญชีประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่โบรกเกอร์ประเมินแล้วว่ามีความสามารถ ในการชำระหนี้ไม่สูงนัก บัญชี credit balance หรือที่เรียกว่าบัญชี margin เป็นบัญชีที่มีรูปแบบการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ ซึ่งลูกค้าต้อง นำเงินสดหรือหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกันการชำระหนี้กับโบรกเกอร์ก่อนซื้อหลักทรัพย์ ตามสัดส่วนที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น หากกำหนดสัดส่วนที่ 50% ของวงเงินกู้ นั่นก็คือ ในการซื้อหุ้น 100 บาท ลูกค้าออกเงินตัวเอง 50 บาท ใช้เงินโบรกเกอร์ อีก 50 บาท เป็นต้น โดยโบรกเกอร์จะคำนวณมูลค่าหลักประกันทุกวัน หากมูลค่าหลักประกันลดลงถึงระดับหนึ่ง อาจถูกเรียกให้นำมาวางเพิ่ม เพื่อรักษาสถานภาพทางบัญชีไว้ แต่หากผู้ลงทุนไม่สามารถเพิ่มหลักประกันได้ ก็อาจถูกบังคับขายหลักประกันหรือ force sale ได้ ซึ่งการซื้อขาย ในบัญชีmargin นั้น ลูกค้าสามารถซื้อขายได้เฉพาะหุ้นที่โบรกเกอร์กำหนดให้ซื้อขายผ่านบัญชี margin ได้เท่านั้น ซึ่งบัญชี margin นี้ โบรกเกอร์จะเปิดให้สำหรับผู้ลงทุนที่มีความสามารถในการลงทุนและชำระเงินดีพอควร จึงยอม ปล่อยวงเงินกู้ให้